วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทัวร์Outbound (ประเทศโปตุเกส)


ประเทศโปรตุเกส


 ประวัติศาสตร์ของโปรตุเกส
ในสมัย​​โบราณที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของวันปัจจุบันชนเผ่าเซลติกโปรตุเกสและ luzytańskie ในศตวรรษที่สามถูกยึดครองโดย Carthaginians หลังจากการล่มสลายของอำนาจของการ์เทจสำหรับชาวโรมันมาในคาบสมุทรไอบีเรีย ในศตวรรษที่สี่ที่ห้า, โปรตุเกสเป็นหนึ่งในประเทศแรกในภาคใต้ของยุโรปนำความเชื่อของรัฐอ่อนแอ chrześcijańską.Wykorzystując Visigoths ในปี 711 Berbers และชาวอาหรับข้ามช่องแคบยิบรอลตาและพิชิตคาบสมุทรไอบีเรีย หลายปีหลังจากการบุกรุกของผู้ปกครองอาหรับที่ไม่เคยเอาชนะใน State of Asturias ที่จะเริ่มต้น Reconquista -- หรือการกู้คืนของพื้นที่ที่หายไป ในตอนท้ายของศตวรรษที่สิบเอ็ดของพระมหากษัตริย์ของ Castile and Leon Alfonso VI เอาชนะดินแดนทางตอนใต้ของ Duero ที่เกิดขึ้นในวิธีนี้อาณาเขตใหม่ที่มีทุนในโปรตุเกส, ปอร์โตและให้พวกเขาเพื่อให้เขาเป็นบุตร, ปรินซ์ burgundzkiemu, เฮนรี่ใน 1147, Alphonse ลูกชายของเขาจาก 1139 ปีที่ผ่านมาพระมหากษัตริย์ของโปรตุเกส, ลิสบอนที่ได้รับใน 1158 ปีที่จะเข้าร่วม Alantejo 1166 กระบวนการและการขยายการจัดตั้งสุดท้ายของขอบเขตดินแดนแล้วเสร็จในสมัย​​ของ Alfonso III, ที่อยู่ใน 1249 Algavre ตั้งแต่เวลานั้น, โปรตุเกสเป็นประเทศแรกในโลกที่มีเครื่องหมายแน่นอนออกและกว่าศตวรรษขอบเขตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สถานที่ตั้งของโปรตุเกสเล่นบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศ นี้ช่วยให้การมีส่วนร่วมที่โดดเด่นของเธอในการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของศตวรรษที่ชาวเรือ geograficznych.Począwszy โปรตุเกสที่สิบห้าภายใต้การอุปถัมภ์ของเจ้าชายเฮนรี่ที่นาวิเกเตอร์ (1395-1460) ที่จะเริ่มต้นในการเข้าถึงชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา, อินเดีย, อินโดนีเซียและจีน (Vasco da Gama, Bartolomeo Diaz, Ferdinand Magellan) ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกและถึงอเมริกาใต้ ใน 1500 ปีที่ผ่านมาเปโดร Alvarez Cabral เอาบราซิล โปรตุเกสและกลายเป็นประเทศที่ค้นพบและ colonizers และเป็นศูนย์กลางการค้าโลก ครึ่งแรกของศตวรรษที่สิบเก้าที่นำความพ่ายแพ้ของโปรตุเกสเพียงอย่างเดียว แรกมีการบุกรุกของคนใหญ่คนโตของกองทัพสามครั้ง (1807-1811) คือ ในปี 1822, เป็นฝูงใหญ่ที่สุดเป็นอิสระ -- บราซิล ในปี 1830-1846 ประเทศที่กวาดโดยสงครามกลางเมืองเป็นผลมาจากภัยเหล่านี้ในศตวรรษที่ยี่สิบ, โปรตุเกสป้อนเป็นหนึ่งในประเทศที่ล้าหลังที่สุดในยุโรป เริ่มต้นที่ 1926 - 1974, เรื่องประเทศที่เผด็จการ ในเมษายน 1974 ในทหารทำรัฐประหารโค่นล้มการปกครองแบบเผด็จการและการริเริ่มนโยบาย Pro - ยุโรปโปรตุเกสในปี 1974-1975 โปรตุเกสได้รับการยอมรับความเป็นอิสระของอาณานิคมของแอฟริกัน ในปี 1984 เป็นสมาชิกของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปที่เป็นในปี 1992, ให้สัตยาบันสนธิสัญญา Maastricht ในปี 1993 เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป

ภูมิประเทศ


 ปริมาณฝนตกประจำปี
บริเวณที่มีฝนตกชุกมากที่สุดของบราซิลคือรอบ ๆ ปากแม่น้ำอะเมซอนใกล้เมืองเบเล็ม และในแถบด้านบนของอะมาโซเนียซึ่งมีปริมาณฝนตกชุกมากกว่า 2,000 มิลลิเมตร (78 นิ้ว) ของปริมาณน้ำฝนที่ตกทุกปี บริเวณที่สำคัญอีกบริเวณหนึ่งที่มีฝนตกชุกคือรอบพื้นที่ลาดชันในเมืองในรัฐเซา เปาโล แต่อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของบราซิลมีฝนตกปานกลางอยู่ระหว่าง 1,000 ถึง 1,200 มิลลิเมตร (39 ถึง 59 นิ้ว) ต่อปี โดยมีฝนตกมากในฤดูร้อน ระหว่างเดือนธันวาคมและเมษายน ส่วนฤดูหนาวจะค่อนข้างแห้ง ส่วน ที่แห้งที่สุดของประเทศคือทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเรียกว่า "Polygon of drought" หรือ "พื้นที่แห้งแล้ง" ซึ่งห้อมล้อม 10% ของอาณาเขตของประเทศ ในภาคพื้นนี้ปริมาณฝนตกไม่แน่นอนและอัตราการระเหยของน้ำสูงมาก ทำให้ยากต่อการเพาะปลูก ตามแนวชายฝั่ง ทางใต้จากเมืองเรซิเฟ มีภูเขาที่กั้นฝนจากลมมรสุม ในบางสถานที่หลังภูเขา เช่น บริเวณตอนใต้ของซัลวาดอร์ พื้นแผ่นดินหลังทะเลเป็นบริเวณที่แห้งแล้งเพราะฝนตกอยู่บนภูเขามาก ทำให้มีฝนน้อยในบริเวณพื้นที่หลังภูเขา

อุณหภูมิประจำปี

ถึงแม้ว่าพื้นที่ 90% ของประเทศจะอยู่ภายในเขตร้อน มากกว่า 60% ของประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่สูง มีลมทะเล หรือในแถบหนาวจะมีอุณหภูมิปานกลาง มีการแบ่งพื้นที่ตามสภาพภูมิอากาศออกเป็น 5 พื้นที่ในบราซิลคือ เขตอากาศแถบเส้นศูนย์สูตร เขตร้อน เขตกึ่งแห้งแล้ง เขตภูเขาแถบร้อน และใกล้เขตร้อน เมืองที่เป็นที่ราบสูง เช่น เซา เปาโล บราซิเลีย และเบโล ฮอริซอนเต้ มีอากาศดีที่สุดโดยเฉลี่ยแล้วมีอุณหภูมิอยู่ที่ 19 องศาเซลเซียส (66 องศาฟาเรนไฮท์) ส่วนริโอ เดอ จาเนโร เรซิเฟ และ ซัลวาดอร์ที่อยู่บนชายฝั่งมีภูมิอากาศที่อบอุ่นซึ่งได้รับความสมดุลจากลมมรสมที่พัดผ่านเสมอ ในเมืองต่าง ๆ ทางตอนใต้ของบราซิล คือ ปอร์โต อเลเกร และ คิริติบา มีภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนซึ่งเหมือนกับบางส่วนของสหรัฐอเมริกาและยุโรปและมีน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง ในแถบนี้อุณหภูมิในฤดูหนาวจะลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แม้ว่าคนมักมองว่าอะเมซอนเป็นแถบที่ร้อน แต่อุณหภูมิก็ไม่สูงกว่า 32 องศาเซลเซียส (90 องศาฟาเรนไฮท์) อันที่จริง อุณหภูมิเฉลี่ยในแถบอเมซอนอยู่ที่ระดับ 22-26 องศาเซลเซียส (72-79 องศาฟาเรนไฮท์)ซึ่งมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยระหว่างเดือนที่อบอุ่นที่สุดและเดือนที่เย็นที่สุด ส่วนที่ร้อนที่สุดของบราซิลคือทางตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งระหว่างฤดูร้อนมักจะมีอุณหภูมิสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส (100 องศาฟาเรนไฮท์) ระหว่างเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน ทางตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงมากตามฤดูกาลมากกว่าเขตอะเมซอน ตามชายฝั่งแอตแลนติคตั้งแต่เมืองเรซิเฟ ไป ริโอ เดอ จาเนโร อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 23 ถึง 27 องศาเซลเซียส (73 ถึง 81 องศาฟาเรนไฮท์) ภายในประเทศ ในที่สูง อุณหภูมิจะต่ำลงที่ระหว่าง 18 ถึง 21 องศาเซลเซียส (64 ถึง 70 องศาฟาเรนไฮท์) ทางตอนใต้ของริโอ ฤดูกาลจะมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนกว่า และอุณหภูมิประจำปีก็ต่างกันมาก อุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับบริเวณนี้ของประเทศอยู่ที่ระหว่าง 17 ถึง 19 องศาเซลเซียส (63 ถึง 66 องศาฟาเรนไฮท์)

ฤดูกาล

ฤดูกาลต่าง ๆ ในประเทศบราซิลมีลักษณะตรงข้ามกับฤดูกาลในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ฤดูใบไม้ผลิ - ระหว่างวันที่ 22 กันยายน ถึงวันที่ 21 ธันวาคม
ฤดูร้อน - ระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม ถึงงันที่ 21 มีนาคม
ฤดูใบไม้ร่วง - ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึงวันที่ 21 มิถุนายน
ฤดูหนาว - ระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน ถึงวันที่ 21 กันยายน
สถาปัตยกรรมแบบชิโน โปรตุกีส
                 สถาปัตยกรรม “ชิโน-โปรตุกีส” (Chino-Portuguese Architecture) ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนแหลมมลายูในยุคสมัยแห่งจักรวรรดินิยมของตะวันตก เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๐๕๔ ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการค้าบริเวณเมืองท่ามะละกา และได้นำเอาศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนวิทยาการตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ด้วยเช่นกัน ซึ่งในช่วงเวลาที่ชาวโปรตุเกสอาศัยอยู่นั้น ก็ได้สร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยไว้ ด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมตามความรู้และประสบการณ์ของตน ทำให้ผลงานสถาปัตยกรรมเหล่านั้นมีรูปแบบแนวตะวันตก มีลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือ นิยมใช้ซุ้มโค้งบนหัวเสา  (Arch  : เป็นลักษณะเฉพาะของสถาปัตยกรรมโรมัน )ตึกแถวที่มีเสา และโค้งเรียงอยู่เป็นแนว อยู่หน้าตึกชั้นล่าง ซึ่งรับระเบียงชั้นสอง ทำให้ เกิดลักษณะที่เรียกว่า "อาเขต" หรือหงอคาขี่ ในภาษาจีนฮกเกี้ยน ซึ่งหมายถึง ทางเดินกว้าง ๕ ฟุตจีน ที่มีหลังคาคลุม สามารถเดินได้ต่อเนื่องกันตลอด ลักษณะอาเขตนี้ เคยมีเหมือนกันในตึกแถว ยุคแรก ๆ ของกรุงเทพฯ แถวเสาชิงช้า เจริญกรุง บำรุงเมืองลวดลายปูนปั้นของหัวเสา และกรอบประตูหน้าต่าง ตลอดจนลวดลายตกแต่งต่างๆล้วนปราณีต งดงามแบบยุโรป หัวเสามีทั้งแบบ***ริค (Doric Order) ไอโอนิค (Ionic Order)คอรินเธียน (Corinthian Order)  และแบบผสมลักษณะต่าง ๆอันแสดงออกถึงอิทธิพล "เรอเนสซองส์" และ "นีโอคลาสสิค"แต่บานประตูหน้าต่าง ตลอดจนการตกแต่งภายใน กลับเป็นแบบจีนปนไทยหรือจีนแท้ ผสมอยู่ในลักษณะที่เหมาะสม จึงทำให้ดูงดงามยิ่งนัก
ดนตรีศิลปะและวรรณกรรมที่เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของรูปโปรตุเกส สำหรับประเทศโปรตุเกสที่ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเอกลักษณ์ประจำชาติของพวกเขา 
วรรณคดีเป็น dominated โดยบทกวีชาวโปรตุเกสและไม่ทราบ -- หรือบทกวีภาษาโปรตุเกสมีแรงบันดาลใจที่จะอธิบายโปรตุเกสหรือความงามของภูมิประเทศที่เป็นแรงบันดาลใจกวี 
ในการเตรียมอาหารสำหรับการบริโภคของโปรตุเกสมีต้นแบบและรักษามันเป็นงานศิลปะทั้งในงานนำเสนอและน่าดึงดูดใจของอาหารที่ ที่โดดเด่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเลที่มีเนื่องจากโปรตุเกสมีชื่อเสียงสำหรับชนิดพันธุ์พื้นเมืองของปลาและพืชในบริเวณใกล้เคียงของชายฝั่งที่แตกต่างกัน จานที่เรียกว่า"พาสต้า de Nata"เป็นอาหารอันโอชะที่ดีและมีชื่อเสียงทั่วโลก จากพื้นที่ห่างไกลของทวีปและนักท่องเที่ยวที่โลกของเรามาดูสำหรับตัวเองและเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ของลักษณะอารมณ์ของการเต้นรำพื้นบ้านในระดับภูมิภาคและเพลง รูปแบบส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่นิยมของดนตรีในโปรตุเกส Fado เป็นเพลงที่ เพลงเป็นที่รู้จักด้วยเสียงเศร้าโศกและคำพูดและการกำเนิดของการจลาจลถือว่าเป็นศตวรรษที่สิบหกเมื่อโปรตุเกสหลังจากที่ความมั่งคั่งของต้องเผชิญกับความยากจนและความทุกข์ยาก คำว่า"Fado"แปลเป็​​นภาษาอื่นหมายความว่า"โชคชะตา"และบางทีดวงชะตาของคุณเป็นไปในวันหยุดไปโปรตุเกสและเพื่อทำความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมที่น่ารักของโปรตุเกสในจุดที่

ของที่ระลึก

ไก่ไม้ จากโปรตุเกส 
                ไปร้านขายของที่ระลึกที่ไหนก็เห็นแต่ไก่นี้เต็มไปหมด ที่มาก็มาจากตำนาน ไก่แห่งเมือง Barcelos
 ตำนานเล่าว่า วันหนึ่งเศรษฐีเมือง Barcelos เชิญแขกเหรื่อมางานเลี้ยงที่บ้านตัวเอง หลังจากจบงาน พบว่า ช้อนเงินที่ใช้ในงานหายไป หาคนขโมยไม่ได้ เศรษฐีก็หาแพะรับผิดได้หนึ่งคน แล้วก็เอาตัวส่งศาล ในศาล ผู้ต้องหาแพะก็ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ศาลก็ไม่เชื่อ ผู้ต้องหาชี้ไปที่ไก่ตัวนึง แล้วบอกว่า ถ้าบริสุทธิ์จริง ก็ให้ไก่ตัวนั้น ขันสามที ว่าจบแล้ว ไก่ตัวนั้น ก็ขันขึ้นมาสามที จริงๆ เป็นอันว่า ศาลก็ต้องยอมปล่อยผู้ต้องหานั้นแต่โดยดี

อาหารโปรตุเกส
อาหารโปรตุเกสแตกต่างกันไปตามภูมิภาค แต่ปลาสดและหอยสามารถพบได้ในเกือบทุกเมนู อาหารประจำชาติคือ" bacalhau ."โปรตุเกสจะหลงกับเธอตั้งแต่จุดเริ่มต้นของศตวรรษที่ 16 เมื่อเรือชาวประมงโปรตุเกสของถึงชายฝั่งของ Newfoundland และกะลาสีที่จะอยู่รอดในบ้านการเดินทางยาวจับปลาและ ususzyli posolili และในวันนี้กล่าวกันว่าเป็นวิธีการที่แตกต่างกัน 365 จากปลาปรุงอาหาร 

ปลาซาร์ดีนและปลาทูย่างม้ายังเป็นที่นิยมในเมืองชายฝั่งทะเลและปลาชนิดอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นภายใต้ชื่อ" Caldeirada "




ในโปรตุเกสมีร้านอาหารหลายที่เชี่ยวชาญในการให้บริการอาหารทะเลหลายแห่งที่มีการจัดทำในทางศิลปะและให้กุ้งก้ามกราม, กุ้ง, หอยนางรมและปู ส่วนผสมเหล่านี้อุดมไปด้วยข้าวและอาหารทะเลที่เรียกว่า" Marisco Arroz"

เนื้อสัตว์ที่เป็น" Portuguesa cozido  "และมันเป็นสตูว์ผักหนากับชนิดของเนื้อสัตว์. หมูย่างดูดนม (" LeitãoAssado ") เป็นที่นิยมในภาคเหนือของประเทศรวมทั้งเป็นไส้กรอกหมูที่เรียกว่า" Chouriço "หรือ" linguiça "

ในปอร์โตได้รับความนิยม guts ของถั่วเมล็ด นี้ไม่ได้เป็นจานสำหรับทุกรสนิยม แต่ในจานที่มีชื่อเสียงที่สุดในปอร์โตของมา RTO เวลาเฮนรี่ที่นาวิเกเตอร์ที่ส่งเรือเพื่อพิชิตตาในโมร็อกโกและคนของปอร์โต -- โรงฆ่าสัตว์ของสัตว์ทุกชนิดที่มุ่งหมายสำหรับอาหารสำหรับลูกเรือที่ -- สามารถเก็บไว้สำหรับตัวเองเท่านั้นโดยผลิตภัณฑ์ และลำไส้เดียวกัน เหตุการณ์นี้ประชาชนปอร์จะเรียกว่า tripeiros "กินผ้าขี้ริ้ว" ผ้าขี้ริ้วยังคงเป็นอาหารจานที่สำคัญทางวัฒนธรรมในหมู่ชาวปอร์โต
อาหารเช้าเป็นธรรมเนียมกาแฟและม้วนเพียง แต่รับประทานอาหารกลางวันเป็นเรื่องใหญ่มักจะยาวนานถึงสองชั่วโมง อาหารเย็นจะได้รับมักจะปลายมักจะมาพร้อมกับน้ำซุป น้ำซุปมากที่สุด"caldo Verde"กับมันฝรั่ง, กะหล่ำปลีชีสขูดฝอยและ chunks ของไส้กรอก

ขนมทั่วไปส่วนใหญ่จะปรุงแต่งด้วยอบเชย, พุดดิ้งข้าว, ฅกประหม่า, น้อยหน่าและคาราเมล แต่ยังขนมมักจะมีจำนวนมากของชีส ส่วนใหญ่จะกินแกะหรือแพะชีสและเนยแข็งเป็นที่นิยมมากที่สุด" Serra da Queijo "ภูมิภาคของ Serra da Estrela
โปรตุเกสพิเศษอาหารและขนมอบแม่ชีจำนวนมากเป็นหนี้ที่มีอยู่แล้วในศตวรรษที่ 18, ที่ขายโดยสูตรอาหารของตัวเอง -- เป็นวิธีที่จะเสริม dochodów.Wiele ของพวกเขาในงานของพวกเขาที่มีชื่อที่น่าสนใจเช่น" Freire barriga เดอ "(แม่ชีในช่องท้อง)," Anjo papos เดอ "(ทรวงอก Angel's) และ" Ceu toucinho "(เบคอนมาจากสวรรค์). โดยเฉพาะอย่างยิ่งอร่อยเป็นเค้กขนาดเล็ก"Nata de สีพาสเทล "คัสตาร์ทาร์ตโรยด้วยอบเชย
ใน Portugaliiprzed อาหารแต่ละมื้อในร้านอาหารในลิสบอนหรือที่อื่น ๆ ลองขนมปังบนโต๊ะ -- ขนมปังโปรตุเกสมีรสชาติอร่อย 


World Plus Tour Co., LTD
 8/29 ถ.สุคนธสวัสดิ์ แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 Tel : 02-542-3900 Fax : 02-542-3911
Website :
www.worldplustour.com  E-mail : info@worldplustour.com
สเปน - โปรตุเกส 10 วัน 7 คืน (TG)
ราคา 109,900.- บาท

อัตราค่าบริการ

ผู้ใหญ่ พักห้องคู่ (ห้องละ 2 ท่าน) ราคาท่านละ
109,900.-
เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 1 ท่าน พักกับผู้ใหญ่ 1 ท่าน ราคาท่านละ
109,900.-
เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 1 ท่าน มีเตียงเสริม พักกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน ราคาท่านละ
93,900.-
พักห้องเดี่ยว เพิ่มท่านละ
20,000.-
** โรงแรมในยุโรป ไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าพักแบบไม่มีเตียงเสริม **


สเปน - โปรตุเกส 10 วัน 7 คืน (TG)
ปลายทางฝันของนักเดินทาง 2 ประเทศเพื่อนบ้านแห่งเมดิเตอร์เรเนียน สเปน-โปรตุเกส ดินแดนที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เด่นในความงดงามของศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า ชื่อเสียงเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีครบทั้งโบราณสถาน ศิลปวัฒนธรรมที่ทั่วโลกรู้จักดีคือในด้านของดนตรี ระบำฟลามิงโก้ ถือได้ว่าเป็นต้นตำรับของเสียงดนตรีที่เร้าใจ นักเต้นเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเสียงเพลง และจังหวะของการกระแทกส้นเท้า อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความโดดเด่นในเรื่องของอาหารเมนูที่ขึ้นชื่อคือ เปเอญ่า หรือ ข้าวผัดสเปนที่รู้จักกันมาช้านาน นำท่าน เยือนแหลมโรก้าจุดดินแดนตะวันตกสุดของยุโรป

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

ภาพประทับใจของศิลปินในยุคอิมเพรสซันนิสม์


ผลงานของอัลเฟรด ซิสลีย์
                                         

                                           ไฟล์:Alfred Sisley 071.jpg

                             “ถนนมาชีนใกล้ลูฟว์เซียน” (Weg der Maschine, bei Louveciennes) 

                           
ผลงานของเฟรเดริก บาซีย์

ไฟล์:Bazille, Frédéric ~ Summer Scene, 1869, Oil on canvas Fogg Art Museum, Cambridge, Massachusetts.jpg

“ฤดูร้อน” (Summer Scene), ค.ศ. 1869


ผลงานของแอดการ์ เดอกา

ไฟล์:Edgar Germain Hilaire Degas 045.jpg

“หลังอาบน้ำ, ผู้หญิงเช็ดต้นคอ” (After the Bath, Woman Drying her Nape

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก


ยุคโบราณ







1.มหาพีระมิดแห่งกีซา ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เก่าแก่ที่สุด และยังคงปรากฏอยู่จนปัจจุบัน และมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์

2.สวนลอยแห่งบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 เมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 6 ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานหรือซาก แต่คาดว่าน่าจะอยู่บริเวณเดียวกับกรุงบาบิโลนในประเทศอีรัก

4.วิหารอาร์เทอมีส (หรือ วิหารไดอานา) ที่เอเฟซุสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 4 ภายหลังถูกทำลายโดยพวกโกธส์จากเยอรมันที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อปี พ.ศ. 805 ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
5.สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส ที่ฮาลิคาร์นัสซัสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างโดยพระราชินีอาร์เทมิเซีย เป็นอนุสรณ์สถานแก่กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวและต่อมานำไปใช้ในการก่อสร้างโดยอัศวินแห่งโรดส์ ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง

6.เทวรูปโคโลสซูส ในทะเลเอเจียน ประเทศกรีก เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของสุริยเทพ หรือเฮลิเอิส สูงประมาณ 32 เมตร ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 60 ปี ปัจจุบันไม่ปรากฏซาก

7.ประภาคารฟาโรส แห่ง อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สมัยพระเจ้าปโตเลมี ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงเมื่อแผ่นดินไหวในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันมีป้อมขนาดเล็กอยู่บนซากที่เหลือ



3.เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย ที่เมืองโอลิมเปีประเทศกรีก สร้างเมื่อประมาณ 462 ปีก่อนคริสตกาล สร้างและตกแต่งด้วยทองคำ งาช้าง และอัญมณีต่างๆ มีความสูง 12 เมตร ภายหลังถูกไฟไหม้เสียหายจนหมดสิ้น

ยุคกลาง


สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดจัดเป็นสิ่งก่อสร้างของโลกสมัยกลาง ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครได้กำหนดไว้ และรายการในยุคกลางก็ระบุไว้ไม่ตรงกัน แต่โดยมากจะยอมรับกับรายการต่อไปนี้
1.โคลอสเซียม สนามกีฬาแห่งกรุงโรม ประเทศอิตาลี
                                  
2.หลุมฝังศพแห่งอะเล็กซานเดรีย สุสานใต้ดินเมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
3.กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน
                            
4.สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ
5.เจดีย์กระเบื้องเคลือบ เมืองหนานกิง ประเทศจีน
6.หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี
7.สุเหร่าโซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือ กรุงอีสตันบูล) ประเทศตุรกี




ยุคปัจจุบัน

1.อุโมงค์รถไฟใต้ทะเล ประเทศอังกฤษ-ฝรั่งเศส
                                                
2.
ซีเอ็น ทาวเวอร์ ประเทศแคนาดา
3.เขื่อนอิไตปู ประเทศบราซิล-ปารากวัย
4.ตึกเอ็มไพร์สเตต ประเทศสหรัฐอเมริกา
5.เดลต้า เวิร์ค ประเทศเนเธอร์แลนด์
6.สะพานโกลเดนเกต ประเทศสหรัฐอเมริกา
                                           
7.คลองปานามา ทวีปอเมริกาใต้

วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย

ไทยได้รับวัฒนธรรมตะวันตกหลายด้านมาตั้งแต่สมัยอยุธยา  ในระยะแรกเป็นความก้าวหน้าด้านการทหาร  สถาปัตยกรรม  ศิลปวิทยาการ  ในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ เป็นต้นมา  คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น  ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน
          ดัวอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยที่สำคัญมีดังนี้
                    1.  ด้านการทหาร  เป็นวัฒนธรรมตะวันตกแรก ๆ ที่คนไทยรับมาตั้งแต่อยุธยา  โดยซื้ออาวุธปืนมาใช้  มีการสร้างป้อมปราการตามแบบตะวันตก  เช่น  ป้อมวิไชยประสิทธิ์ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส  ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการจ้างชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการทหาร  มีการตั้งโรงเรียนนายร้อย  การฝึกหัดทหารแบบตะวันตก
                    2.  ด้ารการศึกษา  ในสมัยรัชกาลที่ มีชนชั้นนำจำนวนหนึ่ง  เช่น  พระอนุชาและขุนนางได้เรียนภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก  ในสมัยรัชกาลที่ ทรงจ้างครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษและความรู้แบบตะวันตกในราชสำนัก
                    ในสมัยรัชการลที่ มีการตั้งโรงเรียนแผนใหม่  ตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นมาจัดการศึกษาแบบใหม่  ทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาที่ประเทศต่าง ๆ เช่น  โรงเรียนแพทย์  โรงเรียนกฎหมาย  ในสมัยรัชกาลที่ มีพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับและการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
                    3.  ด้านวิทยาการ  เช่น  ความรู้ทางด้านดาราศาสตร์  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ความรู้ทางดาราศาสตร์จนสามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้อง  ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่  ซึ่งเริ่มในสม้ยรัชกาลที่ ในสมัยรัชกาลที่ มีการจัดตั้งโรงพยาบาล  โรงเรียนฝึกหัดแพทย์และพยาบาล  ความรู้ทางการแพทย์แบบตะวันตกนี้ได้เป็นพื้นฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน
                    ด้านการพิมพ์  เริ่มจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์รายปักษ์ภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2387  ชื่อ  "บางกอกรีคอร์เดอร์"  การพิมพ์หนังสือทำให้ความรู้ต่าง ๆ แพร่หลายมากขึ้น  ในด้านการสื่อสารคมนาคม  เช่น  การสร้างถนน  สะพาน  โทรทัศน์  โทรศัพท์  กล้องถ่ายรูป  รถยนต์  รถไฟฟ้า  เครื่องคอมพิวเตอร์  เป็นต้น  ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่คนไทยเป็นอย่างมาก
                    4.  ด้านแนวคิดแบบตะวันตก  การศึกษาแบบตะวันตกทำให้แนวคิดทางการปกครอง  เช่น  ประชาธิปไตย  คอมมิวนิสต์  สาธารณรัฐแพร่เข้ามาในไทย  และมีความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  นอกจากนี้  วรรณกรรมตะวันตกจำนวนมากก็ได้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนรูปแบบการประพันธ์จากร้อยกรองเป็นร้อยแก้ว  และการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ในสังคมไทย  เช่น  การเข้าใจวรรณกรรมรูปแบบนวนิยาย  เช่น  งานเขียนของดอกไม้สด  ศรีบูรพา
                    5.  ด้านวิถีการดำเนินชีวิต  การรับวัฒนธรรมตะวันตกและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มาใช้  ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป  เช่น  การใช้ช้อนส้อมรับประทานอาหารแทนการใช้มือ  การนั่งเก้าอี้แทนการนั่งพื้น  การใช้เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกหรือปรับจากตะวันตก  การปลูกสร้าง
พระราชวัง  อาคารบ้านเรือนแบบตะวันตก  ตลอดจนนำกีฬาของชาวตะวันตก  เช่น  ฟุตบอล  กอล์ฟ  เข้ามาเผยแพร่  เป็นต้น

เทพเจ้าที่ชาวตะวันตกนับถือ



เทพโอลิมปัส (The Olympians, Major gods) เป็นเทพที่อาศัยบนยอดเขาโอลิมปัส (Olympus) มีทั้งหมด 12 องค์ แต่ถ้านับอย่างถี่ถ้วนจะมีทั้งสิ้น 16 องค์ ดังนี้

1. ซุส (Zeus) เป็นราชาของบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายและเหล่ามนุษย์บนโลก ซีอูสมีอาวุธเป็น Thunderbolt (สายฟ้า) เทพซีอูสมีพี่น้องซึ่งเป็นเทพปกครองโลกร่วมกัน 5 องค์ ได้แก่ เทพโพไซดอน เทพีดีมิเทอร์ เทพีเฮร่า เทพฮาเดส และเทพีเฮสเตีย

2. โพไซดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเล สัญลักษณ์ของพระองค์คือ “สามง่าม” หรือ “ตรีศูล” ที่สามารถแหวกน้ำทะเลและทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้


3. ดิมิเทอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม การเก็บเกี่ยว

4. เฮรา (Hera) ราชินีแห่งสวรรค์ เป็นทั้งน้องสาวของซีอูสและเป็นภรรยาด้วย เฮร่าเป็นเทพีแห่งการให้กำเนิดทารก การสมรส และสตรี สัตว์ประจำพระองค์คือนกยูง

5. เฮสเทีย (Hestia) เทพีพรมจรรย์แห่งการครองเรือน เทพแห่งครอบครัว ในฐานะของเทพีผู้รักษาบ้าน พระนางเป็นผู้ที่สร้างบ้านขึ้นเป็นคนแรก วิหารของพระนางอยู่ที่กรุงโรม ซึ่งจะได้รับการบวงสรวงจากสาวพรหมจารี พระนางมีสัญลักษณ์เป็นไฟนิรันดร

6. เอรีส (Ares) เทพแห่งสงคราม บุตรของ ซูส กับ เฮร่า สัตว์ประจำพระองค์คือเหยี่ยวและสุนัขมังกรไฟ (บางตำราว่าเป็นนกแร้ง)

7. อพอลโล (Apollo) เทพเจ้าแห่งการทำนาย กีฬา การรักษาโรคภัย การดนตรี และ เป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ เป็นบุตรแห่ง ซีอุส และ เทพีลีโต้ (Leto) มีน้องสาวฝาแฝดชื่อ อาร์ทามิส (Artemis) อะพอลโล่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือ ต้นลอเรล Laurelสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือนกกาเหว่าและห่าน เครื่องดนตรีประจำพระองค์คือพิณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อยู่ที่เดลฟี่ Delphi ซึ่งที่นั่นจะมีนักบวชคอยบอกคำทำนายของพระองค์ให้แก่ประชาชนที่มาสักการบูชา

8. อาร์เทมีส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และ การล่าสัตว์ เป็นบุตรีของซูสและ เทพีลีโต้ เป็นน้องสาวแฝดของอะพอลโล่ พระองค์เป็นเทพีพรหมจรรย์องค์หนึ่งใน 3 องค์ ภาพที่ผู้คนเห็นอยู่เสมอๆ คือพระองค์จะถือธนูและศร มีสุนัขติดตาม สวมกระโปรงสั้น บางครั้งอาจเห็นเธออยู่บนรถศึกเทียมด้วยกวางขาว

9. เฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการค้า การโจรกรรม และผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ เป็นบุตรของ ซูส กับ มีอา พระองค์มักจะปรากฏกายในลักษณะสวมหมวกขอบกว้าง สวมรองเท้ามีปีก ถือคทาที่มีงูพัน

10. อะธีนา (Athena) เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์ทุกแขนงของกรีกรวมถึงศิลปะการต่อสู้ด้วย ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์คือต้นมะกอก

เทพีอธีน่า เป็นผู้ที่มอบมะกอกให้กับมนุษย์เป็นองค์แรก ทำให้เมือง Athens ได้ใช้ชื่อของพระองค์เป็นชื่อเมืองเพื่อเป็นเกียรติ

11. อโฟรไดท์ (Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงาม เป็นบุตรีของ ซูส กับ เทพีไดโอนี่ (บางตำราว่าเกิดจากฟองคลื่น) สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้แก่นกกระจอก นกนางแอ่น ห่าน และเต่า ส่วนดอกไม้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระนางได้แก่กุหลาบ Myrtle และแอปเปิล กล่าวกันว่าพระนางเป็นเทพีผู้คุ้มครองเหล่าโสเภณีด้วย

12. เฮฟเฟตัส (Hephaestus) เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง เป็นบุตรของ ซูส กับ เฮร่า (บางตำราว่าเป็นบุตรของ Hera ผู้เดียว) พระองค์เป็นเทพที่พิการและอัปลักษณ์

13. ไดโอไนซัส (Dionysus) เทพแห่งไวน์ การทำไวน์ และการเก็บเกี่ยวผลไม้ เป็นเทพองค์ล่าสุดที่ขึ้นไปอยู่บนโอลิมปัส

14. เพอร์เซโฟเน (Persephone) เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ เป็นบุตรีแห่ง ซูส และ ดีมิเทอร์

15. อีรอส (Eros) กามเทพ รู้จักกันดีในภาษาโรมันว่า คิวปิด Cupid เป็นบุตรแห่งเทพีความรัก อะโฟร์ไดตี้ และ เทพการศึกสงคราม เอเรส

16. เฮเดส (Hades) เทพแห่งใต่พิภพยมโลก และเป็นเทพดูแลอัญมณีใต้ดิน ชาวกรีกบูชาพระองค์ก่อนเสมอที่จะลงมือทำเหมืองแร่

ปัจจุบันได้จัดให้มีแค่ 12 องค์ เพราะ ตามตำราบางเล่มบอกไว้ว่าเทพรุ่นที่ 3 มีแค่ 12 องค์

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ยุคโพสต์โมเดิร์น

 เรากำลังอยู่กับยุค โพสต์ โมเดิร์นก็คือการตั้งคำถามกับโมเดิร์น การที่มีคนใช้คำว่า โพสต์โมเดิร์นคุณประโยชน์ที่สำคัญก็คือ มันทำให้เราสามารถหวนกลับไปมองสังคมโมเดิร์นหรือพฤติกรรมที่ผ่านมาของมนุษย์ หรือความคิดความเชื่อของเราอย่างเป็นอิสระมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่บอกว่า "โพสต์" โมเดิร์น เราก็จะยังจะอยู่ในกรอบของโมเดิร์น หรือยังให้มันครอบเราอยู่ ให้เรารู้สึกว่ายังจะต้องก้าวไปข้างหน้า ไปสู่ความเจริญ ยึดถือลัทธิความก้าวหน้า ซึ่งเป็นมิติที่ควบคู่กับ civilizing mission ของตะวันตก การบอกว่าโลกเป็น โพสต์ โมเดิร์น หรือเป็นโลกหลังสมัยใหม่ ในเชิงการเมืองนอกจากจะทำให้มนุษย์สามารถมองโลกสมัยใหม่อย่างอิสระ เพื่อวิพากษ์วิจารณ์มันได้ชัดเจนมากขึ้นมองมันถนัดขึ้น ในทางความรู้ก็ทำให้หลุดพ้นจากกรอบ สมมติฐานแบบโมเดิร์น อย่างเช่น ปรัชญาความเป็นสากล ปรัชญาความก้าวหน้า หรือปรัชญาประเภทที่ต้องมีแก่นแท้ มั่นคง ถาวร เป็นอมตะ ซึ่งเอามาจากคริสต์ศาสนา เรื่องวิญญาณ เรื่องพระเจ้า หรือจากกรีกที่เรียกว่าภาวะอุดมคติ เป็นต้น เพราะฉะนั้นตัวปรัชญาโพสต์ โมเดิร์น จึงเป็นตัวปรัชญาที่แย้งกับความเป็นสากล หรือความเป็นแก่นแท้ที่ขัดแย้งไม่ได้ ล้มล้างไม่ได้ ถกเถียงไม่ได้ 
                         ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์นไม่เชื่อว่า มนุษย์สามารถเข้าถึงความจริงได้โดยตรง กล่าวโดยนัยนี้ ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์นยังมีระดับจิตต่ำกว่าปรัชญาของพุทธะ ที่มีประสบการณ์โดยตรงในการเข้าถึง "ความจริงสูงสุด" พวกโพสต์โมเดิร์นเห็นว่า มนุษย์ต้องมองต้องคิดผ่านแว่นของภาษา จึงมองว่า ความจริงเป็นแค่สิ่งที่เราสร้างขึ้นโดยระบบของภาษา 
ในเมื่อพวกโพสต์โมเดิร์นมองว่า ความจริงเป็นสิ่งที่คนเราสร้างขึ้น โดยระบบภาษา โดยสำนวนโวหาร โดยการจูงใจ โดยการบิดเบือน โดยการหลอกลวงซ่อนเร้นภายใต้ความขลังของทฤษฎีหรือวาทกรรมแบบต่างๆ หรือภายใต้ระบบปรัชญาที่ซับซ้อนหรือด้วยภาพลักษณ์ที่ง่ายๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นพวกโพสต์โมเดิร์นจึงนิยมมองโลกข้างนอกทุกๆ อย่างเป็นเสมือนพื้นที่ว่างที่เราจะใส่ความคิด ความเชื่อของเราลงไปยังไงก็ได้ คือเติมตัวความหมาย (signifier) ลงไปได้ เพราะฉะนั้นในสายตาของพวกโพสต์โมเดิร์น โลกทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองของมนุษย์จึงเป็นเสมือนพื้นที่ว่างที่มีการช่วงชิงกันเติมความหมาย ความคิดเห็นลงไป การเมืองในยุคโพสต์โมเดิร์นอย่างในยุคปัจจุบัน จึงเป็นการเมืองของการช่วงชิงพื้นที่ด้านต่างๆ 
ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์น ไม่เชื่อว่ามีความจริงเพียงหนึ่งเดียวอยู่แล้ว แต่เห็นว่า "ความจริง" เป็นสิ่งที่มองได้หลายมุมมอง และควรผสมผสานมุมมองที่หลากหลายต่างๆ เข้าด้วยกัน   ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์น ปฏิเสธอำนาจของกรอบ ระเบียบ โครงสร้าง รูปแบบจารีตเดิม และมุ่งแสวงหาการคิดนอกกรอบและแหวกแนวอยู่ตลอด
                        นักคิดโพสต์โมเดิร์นไม่เชื่อในโลกความจริงที่อยู่นอกเหนือไปจากโลกของภาษา ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งนอกเหนือต่าง ๆ มีอยู่จริงเขาก็ไม่สนใจที่จะต้องไปถกเถียงกัน เพราะว่าถกเถียงไม่ก็ไม่มีข้อสรุปว่าสิ่งไหนถูกผิด เนื่องจากทุกสิ่งถูกการมองโดยโลกของภาษา ซึ่งมีลูกเล่นแพรวพราวทั้งตัวภาษาเองและตัวผู้ใช้ภาษา พวกเขาจึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องของภาษา วาทกรรม ตัวบท ซึ่งมีนักคิดคนสำคัญคือ

                        Jacques Derrida เกิดในอัลจีเรียเขาเสนอวิธีการ deconstruct คือการแสดงให้เห็นว่าเราสามรถถอดรื้อความเห็น ของทฤษฎีหรือวาทกรมใด ๆ ก็ได้ เพื่อเปิดเผยให้เห็นถึงจุดหละหลวมของมัน ซึ่งภาษานั้นก็สามารถที่จะสร้างความหมายลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ เขาจริงถือเป็นภารกิจของเขที่จะถอดรื้อระบบความคิดที่อ้างตัวเองเป็นตัวแทนของความจริง
                         Michel Foucault เขามุ่งถอดรื้อความคิด ทฤษฎี วาทกรรมที่อ้างตนเองว่าเป็นความรู้ที่เป็นกลางเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ เช่น ความรู้ทางการแพทย์ ทางสังคม ทางจิตวิทยา ฯลฯ เขาถอดรื้อให้เห็นว่าความรู้จำนวนมาก รวมทั้งสถาบันต่างๆ ได้ถูสร้างขึ้นมาอย่างมีเงื่อนไขเพื่อปกปิดอำพรางบางอย่าง โดยเฉพาะประโยชน์ทางอำนาจ เพื่อปิดกั้นความรู้และความจริงอื่น ๆ อันเป็นการกดดัน บีบบังคับ บิดเบือน ละเลย หลงลืม อำนาจ หรือการดำรงอยู่ของส่วนอื่น ๆ เช่น ละเลยความสำคัญของจิตใต้สำนึกของร่างกายของคนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ เช่น เกย์ เลสเบี้ยน เป็นต้น
Jacques Lacan (ค.ศ. 1901-1981) งานของเขาชี้ให้เห็นว่าภาษากำหนดรูปร่างความเป็นไปของจิตใต้สำนึก อารมณ์ปรารถนาของเราตั้งแต่ยังเป็นทารก โลกของภาษาคือโลกของสัญลักษณ์ อำนาจ การครอบงำตั้งแต่วัยทารกจึงทำให้อัต ลักษณ์ของเราแยกจากภาษาไม่ออกลักษณะศิลปะ Post modern       1. การปฏิเสธศูนย์กลาง ซึ่งก็คือ การปฏิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางเวลา เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง 
       2. การปฏิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์ อาจเป็นหลายเรื่องซ่อนเร้นกัน
       3. Post modern คัดค้านโครงสร้าง ระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม
       4. Post modern ปฏิเสธจุดเริ่มต้น จึงปฏิเสธประวัติศาสตร์แต่โหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไปจากบริบทอย่างสิ้นเชิง
ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโมเดิร์นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย